อภินิหารคัมภีร์ชนะฟ้า ตอนที่ วารีและอัคคี
5 posters
หน้า 1 จาก 1
อภินิหารคัมภีร์ชนะฟ้า ตอนที่ วารีและอัคคี
ตอนที่ 1 วารีและอัคคี
เมืองผิงตี้ เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว และเมืองแห่งความสำราญ เมืองๆนี้ขึ้นชื่อด้วยสุราและนารี เนื่องจากมีหอนางโลมที่ยอดเยี่ยมที่สุด และสุราที่รสชาติที่หาดื่มที่ไหนไม่ได้ จึงมีผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ผู้คนคนใหญ่ในเมืองนี้จะเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า บางคนพกดาบสะพายกระบี่ คาดว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ออกท่องยุทธจักร บ้างก็เป็นเศรษฐีที่ออกมาท่องเที่ยวหาความสุขส่วนตัว แต่ในบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถเทียบรัศมีของสองบุรุษคู่นี้ได้เลย
มันทั้งคู่หน้าตาหล่อเหลา คนแรกรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายราวกับหยก แต่งกายด้วยชุดนักบู๊สีเขียวบนมือกระชับกระบี่ล้ำค่าไว้แน่น ตัวมันนั้นเรียกว่า หมิงอู๋ ส่วนอีกคนเรียกว่า กู่ชิงหยวน รูปร่างบึกบึน แม้ไม่หล่อเหลาเท่าคนแรกแต่ก็ฉายแววแห่งบุรุษมากกว่า ใบหน้าคมเข้ม ผิวหนังหยาบกร้าน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความโอบอ้อมอารี ตัวมันนั้นแบกดาบยักษ์ไว้บนบ่า สร้างความสนใจให้ผู้ชมได้เป็นอย่างดี
“ศิษย์น้อง เราเดินทางกันมานานมากแล้ว ใยไม่หาดื่มสุรา เติมแรงแล้วค่อยไปกันต่อ?” เสียงแหบห้าวดังขึ้น มันเป็นเสียงของผู้ครอบครองดาบยักษ์ ซึ่งคนที่มาด้วยก็ไม่ได้ขัดขืน มันตอบออกไปว่า
“ดีเหมือนกัน ข้าทราบมาว่าที่นี่มีเหลาสุราที่หนึ่ง ขายสุรารสชาติยอดเยี่ยม หากมันผู้ใดไม่ได้ดื่มสุรานี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองผิงตี้” ทั้งคู่เดินผ่านหอนางโลมมากมาย แม้พวกนางจะยินยอมพร้อมใจและกายบำเรอให้พวกเขา แต่ทั้งคู่ก็ไม่อาจรับไว้ ได้แต่สอบถามเส้นทางไปเหลาสุราอันดับหนึ่ง ภายหลังทราบมีชื่อว่าเหลาเมามาย
ไม่นานนักคนทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าเหลาเมามาย เสียงผู้คนคุยกันดังเซ็งแซ่ ทั้งคู่ไม่รอช้าเดินเข้าไปในร้านทันที คนรับใช้ผู้หนึ่ง เห็นทั้งสองเดินเข้ามา ดูออกว่าไม่ธรรมดาจึงออกไปต้อนรับขับสู้อย่างดี
ภายในร้านมีผู้คนมากมาย แต่ก็ไม่น่าสนใจเท่าสตรีทั้งสองที่นั่งตรงด้านในสุดของร้าน นางทั้งสองดูมีอายุไล่เลี่ยกัน คนที่ดูอายุมากกว่าแม้ไม้มีใบหน้าสวยงามราวกับบุปผา แต่ก็มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเอง เรียกความคึกคักให้กับกู่ชิงหยวนเป็นอย่างมาก ส่วนอีกนางหนึ่งผิวขาวผ่องเป็นยองใย ใบหน้าเรียวยาว นางดูราวกับเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นฟ้า หมิงอู๋นั้นแม้ตายก็ยอมหากได้โอบกอดนางสักครา
ผู้รับใช้บอกว่าสุราที่ล่ำลือกันถูกขนานนามว่าสุราทิพย์ รสชาตินุ่มละไมลิ้น ใครได้ชิมต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่นานนักอาหารมากมายก็วางอยู่ตรงหน้าของสองศิษย์พี่น้อง ทั้งคู่เดินทางมานานจึงรู้สึกหิวกระหายเป็นอย่างมากจึงดื่มกินกันอย่างเต็มที่ เมื่อทั้งคู่อิ่มหนำแล้วก็เริ่มเปิดปากคุยกันอีกครั้ง โดยหัวข้อสนทนาในครั้งนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากสะคราญทั้งสองที่เป็นจุดสนใจของคนทั้งร้านนั่นเอง
“ศิษย์พี่ว่าสองนางนี้ข้าชมชอบผู้ใดมากกว่ากัน” หมิงอู๋เปิดประเด็นศิษย์ผู้พี่อยู่ร่วมกันมานานจึงเดาใจศิษย์น้องออกึงตอบไปว่า”แม่นางที่งามชดช้อยคนนั้นใช่หรือไม่?”
“ฮา ฮา ศิษย์พี่ช่างเข้าใจข้ายิ่งนัก ข้าเดาว่าศิษย์พี่ก็ชมชอบนางผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มนั้นใช่หรือไม่” กู่ชิงหยวนได้แต่พยักหน้ายอมรับ คราวนี้เมื่อทั้งคู่มีเป้าหมายเหมือนกัน จึงคิดหมายจะเข้าไปทำความรู้จัก หมิงอู๋จึงเสนอให้ผู้เป็นศิษย์พี่ชำระค่าอาหารให้พวกนาง เพื่อที่จะได้ใช้โอกาสนี้ใกล้คิดกับสะคราญทั้งสองมากขึ้น
ตอนนี้คนทั้งคู่หาได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากโฉมงามทั้งสอง หมิงอู๋นั้นได้แต่ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มไปให้นางงามชดช้อย ส่วนกู่ชิงหยวนก็ไม่แพ้กัน ส่งยิ้มไปให้นางที่เขาชมชอบเช่นกัน
“ท่านพี่ ดูเจ้าปิศาจที่น่าตายทั้งสองตัวนั้นมองท่านด้วยสายตาที่น่ารังเกียจนัก” คนอายุน้อยกว่าก่นด่าสองศิษย์พี่น้องด้วยถ้อยคำที่แสนดูถูกจึงถูกผู้พี่ตักเตือนด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ไม่เห็นเป็นไร ข้าว่าพวกเขามองเฉินอี๋มากกว่า ก็เจ้างดงามขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ต้องมอง อย่าไปถือสาพวกเขาเลย”
ผู้ได้ฟังก็มองตาค้อน ด้วยความที่นางเพิ่งเข้าสู่วัยสาวจึงยังไม่เคยถูกบุรุษเพศจ้องมองแบบนี้ จึงรู้สึกอายและโมโหเป็นพิเศษ เมื่อเพ่งมองดีๆ เฉินอี๋นั้นอายุราวๆสิบห้าสิบหกปี ดวงตาของมองเมื่อมองไปที่ผู้ใดย่อมสามารถสะกดใจของมันผู้นั้นได้อย่างง่ายดาย ท่าทางสองพี่น้องนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์เช่นกัน ดูจากกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะก็ทราบว่าพวกนางเป็นมีวรยุทธ์ด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นเป้าหมายของพวกเขากำลังจะชำระเงิน กู่ชิงหยวนเรียกหนักงานรับใช้ออกมา แล้วบอกว่าให้จ่ายค่าชำระแทนพี่น้องทั้งคู่ แต่ไม่ทันที่พนักรับใช้จะเข้าไปถึงโต๊ะของสะคราญทั้งสองก็กลุ่มคนกลุ่มเข้ามาขวางไว้ พวกมันมีจำนวนห้าคน ใบหน้าแต่ละคนฉายแววหื่นกระหายอย่างชัดเจน ชายวัยกลางคนร่างอ้วนที่ท่าเป็นผู้นำเอ่ยขึ้นว่า
“ ท่านทั้งสองสวยปานบุปผางาม ข้าไม่อาจห้ามใจตัวเองได้จริงๆ ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจร่วมสนุกกับพวกข้าหรือเปล่า ข้าจะตอบแทนให้อย่างดีเลย” เฉินอี๋ได้ยินคำพูดของมันแล้วได้แต่ส่งเสียงในใจว่า ‘เจ้าสุกรลามก เห็นพวกข้าเป็นนางโลมหรืออย่างไร’ นางปฏิเสธออกไปเอ่ยจบก็ชำระค่าอาหารหนึ่งตำลึงทองแล้วเดินออกจากร้านไป
ชายร่างอ้วนฉุดกระชากแขนนางอย่างแรงจนต้องร้องออกมา หมิงอู๋เห็นท่าไม่ดีจึงเดินออกไปดุด้วยความกระวนกระวาย “หนอย นังตัวดี ในเมื่อพูดด้วยดีๆไม่ชอบ ก็ต้องเล่นไม้แข็งแล้ว” กล่าวจบมันก็ชักกระบี่ออกมาจากฝัก ประกายกระบี่ดุดันแผ่พุ่งเข้าหาเฉินอี๋ นางไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกรังแกจึงชักกระบี่ออกมาป้องกันตัวไว้
“เจ้ากล้าขัดขืนท่านอ๋องเฟิงสั้งเชียวรึ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาหวังจะให้นางกลัว แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่มันคิด เพียงได้ยินเฉินอี๋กล่าวกลับทำให้พวกมันทั้งหมดหน้าซีดเป็นไก่ต้ม “จะเป็นท่านอ๋องหรือฮ่องเต้ ข้าก็ไม่สนถ้ามันดูถูกข้าเยี่ยงนี้” กล่าวจบก็ฟาดผ่ามือขาวเนียนใส่ใบหน้าของชายร่างอ้วนเข้าไปเต็มแรง
เมื่อถูกตบหน้าอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว ท่านอ๋องจึงคิดจะสังหารนางด้วยกระบวนท่าเดียว มันแผ่พลังชั่วร้ายออกมาจากร่างกาย ก่อนจะใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือที่เกรี้ยวกราด “เข้ามาสิ เจ้าหมูตอนโสโครก ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ถึงพลังของสำนักวารีคืนกลับว่าร้ายกาจขนาดไหน” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้คนทั้งหลายถึงกับสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ ชายร่างอ้วนเมื่อถูกเรียกเช่นนั้นก็เพิ่มเพลิงโทโสที่สุมอยู่ในอก เพิ่มพลังเข้าไปในฝ่ามืออีกสามส่วน
เฉินอี๋หลับตาพริ้มตั้งสติมั่น โคจรพลังเตรียมรับมือกับเฟิ่งสั้ง สายน้ำที่จับตัวกันวนเวียนอยู่รอบกายของนางกลายร่างเป็นฝูงมัจฉานับสิบ ไม่นานก็พุ่งเข้าหาเฟิ่งสั้ง ผู้ถูกจู่โจมกลับยิ้มแสยะราวกับไม่กลัวพลังที่พุ่งเข้าหาตน “ปลากระจอก ไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก” กล่าวจบมันก็ใช้ฝ่ามือซัดทำลายฝูงมัจฉาที่พุ่งเข้าใส่มันอย่างง่ายดาย คราวนี้ฝ่ามือนั้นใกล้เข้ามาหานางทุกทีแล้ว แต่นางก็ยังนิ่งเฉยอยู่ดี และดูเหมือนนางจะคาดการณ์ไว้แล้วว่ากระบวนท่าจะถูกทำลายจึงใช้ออกด้วยกระบวนท่าต่อไป
“กระบวนท่าสำนักวารีคืนกลับ สายวารีชะล้างธรณี กระบวนท่าที่สอง ฝ่ามือพลิกสมุทร” กล่าวจบก็พุ่งร่างขึ้นไปรับฝ่ามือของสุกรโสโครกโดยตรง
เปรี้ยง!!
เสียงปะทะของทั้งคู่ดังสนั่นหวั่นไหวปลุกให้ทุกคนสะดุ้งจากภวังค์ ด้วยประสบการณ์ที่ต่างกันทำให้เฟิ่งสั้งทำลายพลังฝ่ามือของเฉินอี๋ได้ ยังผลให้นางร่วงลงมากับพื้นอย่างรวดเร็ว หมิงอู่ที่เฝ้าชมมานานจึงรีบใช้พลังตัวเบาพุ่งเข้าไปอุ้มนางไว้ได้ทันท่วงที
“แม่นางเป็นอะไรหรือเปล่า” หมิงอู๋เห็นเฉินอี๋สลบไปจึงคิดทวงความยุติธรรมให้กับนาง จึงกล่าวออกไปว่า “หน้าไม่อายรังแกผู้หญิง ข้าหมิงอู๋ไม่ขอเป็นผู้ชายหากไม่สังหารเจ้าให้ตายคามือ” เฟิ่งสั้งเห็นผู้มาใหม่ฝีมือไม่ธรรมดาจึงเรียกให้ลูกน้องออกมาช่วยกันจัดการมัน กู่ชิงหยวนจึงเข้ามาร่วมสู้อีกแรง
ลูกน้องของเฟิ่งสั้งก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้างจึงทำให้กู่ชิงหยวนต้องใช้พลังถึงเจ็ดส่วน ทางด้านหมิงอู่ก็เจอคู่ปรับที่เท่าเทียมกัน จึงต่อสู้ด้วยพลังเต็มฝีมือ ไม่ยอมปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้เห็นช่องว่างเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไอ้ท่าทีมั่นใจแบบนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ เจ้าหนู ลองรับเพลงกระบี่ตัดภูผาของข้าก่อนสิแล้วเจ้าจะรู้ว่าระดับมันต่างกัน” เฟิ่งสั้งโคจรพลังดุดันเข้าใส่ในกระบี่ของมันแล้วจึงพุ่งตัวเข้าใส่หมิงอู่ด้วยความเร็วจนมองแทบไม่ทัน เห็นดังนั้นหมิงอู๋ก็ขับพลังออกเข้าปะทะกับเฟิ่งสั้งอย่างไม่กลัวเกรง
กระบวนท่าที่หมิงอู่ใช้นั้นแผงไปด้วยธาตุไฟจึงทำให้มีอานุภาพมากยิ่งขึ้น ยังผลให้เฟิ่งสั้งถอยเอาไปหลายก้าว มันไม่รอช้าใช้กระบวนท่าประจำตัวออกไปด้วยพลังที่มหาศาล
“เสร็จข้าละ สุกรโสโครก! พลังกระบี่มังกรอัคคีสุรยัน” กล่าวจบพลังเพลิงอันมากมายก็เข้าห่อหุ้มกระบี่ของหมิงอู๋ ร่างมันมันถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ ราวกับมังกรที่พุ่งเข้าหาศัตรูอย่างเกี้ยวกราด ฝ่ายเฟิ่งสั้งนั้นแม้จะตกใจกับพลังฝีมือของหมิงอู๋แต่ก็ต้องกลั้นใจรับพลังนี้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี
มันใช้พลังทั้งหมดที่มีทุ่มไปกับการรับมือกับมังกรไฟที่อยู่เบื้องหน้า ความร้อนระอุที่ทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนใบหน้ามันเป็นจำนวนมาก ยิ่งมองดูใกล้ๆก็รู้สึกมังกรไฟข้างหน้าตัวใหญ่กว่าเดิมเป็นสิบเท่า ความกลัวที่แทรกเข้ามาทำให้พลังกระบี่ตัดภูผาลดลงไปสี่ส่วน ร่างกายของเฟิ่งสั้งสั่นระริก มันไม่เคยเจออะไรที่ทำให้มันรู้สึกกลัวสุดขั้วหัวใจขนาดนี้มาก่อน มังกรไฟอ้าปากกว้างแล้วงับร่างอ้วนของเฟิ่งสั้งอันตรทานหายไปอย่างรวดเร็ว!
เสียงร้องที่สุดแสนทรมานโหยหวนออกมาดังระงม เปลวไฟอันร้อนแรงแผดเผาพื้นที่รอบข้างจนลุกเป็นไฟ ฝุ่นควันลอยฟุ้งสร้างความสับสนวุ่นวายให้ผู้คนบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปไม่นานก็เผยให้เห็นร่างกายสูงโปร่งของหมิงอู๋ เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงสด ข้างๆเขานั้นเป็นศพที่ไม่สามารถจำสภาพก่อนตายได้เลย แต่ก็สามารถเดาได้ว่าเป็นศพของเฟิ่งสั้ง มันไหม้เกรียมและส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล คราบเลือดสาดกระเซ็นอยู่เต็มพื้น หมิงอู๋ในตอนนี้ราวกับเทพแห่งความตายที่ตัดสินความยุติธรรมให้กับผู้อ่อนแอ แต่การกระทำของเขาก็ดูจะโหดร้ายมากเกินไปสำหรับชาวบ้านทั่วไป ขนาดพี่สาวของเฉินอี๋ที่เป็นจอมยุทธ์ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเป็นลมเพราะภาพการฆ่าที่โหดร้ายเช่นนี้
กู่ชิงหยวนนั้นกำลังต่อสู้กับข้ารับใช้ของเฟิ่งสั้งอย่างบ้าคลั่ง ทุกดาบของมันนั้นเต็มไปด้วยพละกำลังที่มากมาย เปลวไฟอันร้อนแรงที่พวยพุ่งออกมาทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าเข้าใกล้เสียเท่าใด พวกมันทั้งสี่รวมพลังกันใช้เพลงกระบี่ค่ายกลประจำราชสำนักเข้าประจันหน้ากับเพลงดาบเพลิงของกู่ชิงหยวน ชิงหยวนเพิ่มพลังไฟเข้าไปมากขึ้นดังเช่นที่ศิษย์น้องมันทำ แต่ทว่าความเร็วและความรุนแรงของมันนั้นมีกว่าหลายเท่านัก ดาบใหญ่ฟันเข้ากลางร่างของข้ารับใช้ผู้หนึ่ง ส่งผลให้ร่างของมันขาดครึ่งเป็นสองท่อน เลือดสีแดงสดไหลทะลักสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า
พวกมันที่เหลือเห็นพรรคพวกตายก็เกิดความคิดที่จะถอนตัว แต่ไม่มีทางที่กู่ชิงหยวนจะปล่อยให้มันหนี ปล่อยพลังเพลิงออกไปเป็นวงแหวนไฟกักตัวพวกขี้ขลาดเอาไว้ หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าคนทรยศชาติ กล้าสังหารท่านอ๋องเฟิ่งสั้งเชียวรึ พวกเจ้าและสำนักอัคคีมายา ต้องพินาศด้วยน้ำมือของราชสำนัก!!!” ถึงแม้ว่าร่างกายจะสั่นเท่าแต่ก็ยังมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย พูดจบก็โคจรพลังทั้งหมดที่มาเข้าสู้อีกครั้ง แม้รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้ก็ตาม
ฉัวะ!!
ดาบใหญ่ตัดเข้าที่หัวมันอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครมองทันยกเว้นหมิงอู๋ หัวของมันกลิ้งหลุนๆมาอยู่แทบเท้าของกู่ชิงหยวน มันอดไม่ได้ที่เห็นใบหน้าของคนผู้นี้จึงเตะหัวมันออกไปให้พ้นตาเสีย การลงดาบนี้ไม่ใช่มาจากความเคียดแค้น แต่เป็นดาบแห่งความยุติธรรมที่มันยอมไม่ได้ที่ผู้ชายรังแกผู้หญิง ดาบนี้จึงสนองให้แก่ความชั่วเหล่านั้น น่าแปลกที่คราวนี้เลือดกลับไม่ทะลักออกมาจากปากแผลเลย ช่างเป็นดาบที่ร้ายกาจยิ่งนัก
คนสุดท้ายเห็นเพื่อนที่เหลือตายในสภาพเพื่อนตายอย่างอเนจอนาถก็นึกกลัวขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างกายสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ วิธีเดียวที่ไม่ต้องตายอย่างทรมานคือการฆ่าตัวตาย คิดได้ดังนั้นก็หยิบกระบี่ขึ้นมา ก่อนตายกล่าวคำสบถสาปแช่งสองจอมยุทธ์หนุ่มแล้วจึงเชือดคอตัวเองล้มตายไป
เฉินอี๋และพี่สาวเมื่อตื่นมาก็พบเห็นชายหนุ่มทั้งสองอยู่ใกล้กับตนเพียงครึ่งก้าว สองพี่น้องไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้จึงต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย คำขอบคุณของสาวงามทำให้สองจอมยุทธ์มีความคึกคักอักโขมากยิ่งขึ้น “ข้าต้องขอบคุณคุณชายทั้งสองเป็นอย่างมาก ข้าเฉินผิงลี่ น้องสาวข้าเฉินอี๋ ไม่ทราบว่านามสูงส่งของท่านทั้งสองเรียกว่าอะไร”
“ข้าเรียกว่ากู่ชิงหยวน ส่วนมันเรียกหมิงอู๋” กล่าวจบก็นำพาแม่นางทั้งสองออกจากจุดชุลมุนเพื่อจะได้สนทนากันได้สะดวกมากขึ้น
“ไม่ทราบว่าวิชาที่ใช้เป็นของสำนักใด ช่างร้ายกาจเหลือเกิน” เฉินอี๋เอ่ยขึ้น ใบหน้าแสดงออกถึงความชื่นชมอยู่มิใช่น้อย แต่พอได้ยินคำตอบของหมิงอู๋นั้นทำให้หน้าของนางเปลี่ยนสี “เป็นวิชาสำนักอัคคีมายา นามอัคคีสุริยัน”
เมื่อได้ยินดังนี้ดรุณีทั้งสองก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เฉินผิ่งลี่หน้าแดงจัด ส่วนเฉินอี๋ก็มีสภาพไม่ต่างกัน “เมื่อท่านทั้งสองเป็นคนของสำนักอัคคีสุริยัน เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก พวกเราสำนักวารีคืนกลับและสำนัคอัคคีสุริยันไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ข้าต้องขอบคุณที่ช่วยเราไว้ พบกันคราวหน้าเราคือศัตรูกัน ข้าขอลา” เฉินอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ทราบว่าสองสำนักนี้มีความเป็นมาอย่างไรจึงมีปัญหาแบบนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่พวกเขาทั้งสี่จะเกิดขึ้นเสียอีก แม้ไม่รู้สาเหตุแต่ก็ถูกปลูกฝังแต่เด็กว่าสองสำนักนี้ไม่ถูกกัน
เฉินผิงลี่แม้ชื่นชมในวีรกรรมของที้งสองแต่เมื่อเป็นคนของสำนักคู่แค้นจึงต้องตัดใจแล้วใช้วิชาตัวเบาพริ้วกลายหายไป ปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่โกรธโชคชะตาที่ทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ร่วมยุทธภพกับพวนาง
กู่ชิงหยวนหันมาปลอบใจศิษย์น้อง แล้วจึงกล่าวออกไปว่า”ไม่เป็นไร หากมีวาสนาต่อกันยังไงก็ต้องได้พบกันอีก ตอนนี้เรารีบทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ก่อนดีกว่า” หมิงอู๋ได้ยินดังนั้นก็ยอมรับวามเป็นจริง กระชับกระบี่คู่ใจแล้วออกเดินทางต่อไปด้วยวามหวังที่จะได้พบกับเฉินอี๋อีกครั้ง แม้จะเป็นศัตรูกันก็ตาม
ฝากตัวนะครับ http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=573600 ถ้าใครสนใจตามอ่านได้ที่นี่นะครับ ชอบไม่ชอบโพสบอกได้นะ จะได้เอาไปแก้ไขครับ
MR.MOONFACE- Beginner
Re: อภินิหารคัมภีร์ชนะฟ้า ตอนที่ วารีและอัคคี
นิยายเหรอฮะเนี่ย...
เห็นตัวหนังสือแล้วขี้เกียจอ่านอ่ะน่ะคับ...ขอโทษนะคับ= =''
เห็นตัวหนังสือแล้วขี้เกียจอ่านอ่ะน่ะคับ...ขอโทษนะคับ= =''
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|